ฝนตกบ่อยๆ ทำให้วิสัยทัศน์ในการมองเห็นสำหรับคนขับขี่รถยนต์ก็ไม่ชัดเจน ตัวช่วยที่ดีที่สุดคือ “ใบปัดน้ำฝน” ที่จะช่วยปัดน้ำฝน สิ่งสกปรก ที่เกาะบนกระจก ทำให้เรามองเห็นถนนได้ชัดเจน ลดอุบัติเหตุได้อีกด้วย ดังนั้นการดูแลใบปัดน้ำฝนจึงไม่ใช่เรื่องที่ควรละเลยเป็นอย่างยิ่ง
ใบปัดน้ำฝน
โดยทั่วไปแล้วอายุการใช้งานตามปกติของใบปัดน้ำฝนอย่างมีประสิทธิภาพจะอยู่ที่ประมาณ 12 เดือน แต่ส่วนใหญ่ผู้ใช้รถยนต์ทั่วไปจะละเลยการเปลี่ยนใบปัดน้ำฝนแม้ใบปัดน้ำฝนจะเสื่อมสภาพแล้วก็ตาม วิธีดูแลใบปัดน้ำฝนง่ายๆมีดังนี้
1.ทำความสะอาดยางปัดน้ำฝนอย่างสม่ำเสมอ วิธีทำความสะอาดยางปัดน้ำฝนโดยการใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เช็ดตามแนวขอบยางที่ปัดน้ำฝนให้สะอาด เมื่อที่ปัดน้ำฝนถูกใช้งานมานานก็มักจะมีสิ่งสกปรกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นคราบฝุ่น โคลน หรือแม้แต่ขี้นกติดอยู่ ซึ่งสิ่งแปลกปลอมเหล่านี้สามารถทำให้ที่ปัดน้ำฝนทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพอย่างที่เคย อีกทั้งเป็นสาเหตุบั่นทอนอายุการใช้งานได้
2.เลี่ยงการจอดรถตากแดด การจอดรถตากแดดนานๆ เป็นประจำจะทำให้ยางปัดน้ำฝนแข็งกรอบ ขาดความยืดหยุ่น เพราะยางต้องแนบกับกระจกที่รับความร้อน ซึ่งจะส่งผลให้ยางที่ปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพได้ง่าย และหมดอายุการใช้งานเร็วกว่าที่ควรจะเป็น
3.หมั่นใช้ที่ปัดน้ำฝนแม้ฝนไม่ตก หมั่นเปิดที่ปัดน้ำฝนและตรวจเช็คสภาพที่ปัดน้ำฝนทุกครั้งว่ายังสามารถใช้งานได้ตามปกติหรือไม่ พร้อมทั้งกดน้ำฉีดกระจกก่อนที่จะเริ่มขับรถออกไป เพราะไม่เพียงทำให้มองเห็นทางได้ชัดเจนเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ยางที่ปัดน้ำฝนไม่แห้งแตกด้วย
4.ตรวจสอบหน้ายางใบปัดน้ำฝน การตรวจสอบหน้ายางของที่ปัดน้ำฝน ไม่เพียงแต่ดูว่ามีสิ่งสกปรกเกาะติดอยู่หรือไม่ เพื่อจะทำความสะอาดเท่านั้น แต่ยังควรจับดูหรือสังเกตดูว่ายางแห้ง แข็ง แตก หรือเป็นขุยหรือไม่ ซึ่งหากมีลักษณะดังกล่าวก็ควรเปลี่ยนใหม่
5.ตรวจสอบกระจกหน้ารถ นอกจากการดูสิ่งสกปรกบนที่ปัดน้ำฝนแล้ว การตรวจสอบกระจกหน้ารถ รวมถึงกระจกหลังหากมีที่ปัดน้ำฝนติดตั้งอยู่เป็นอีกสิ่งที่ควรหมั่นตรวจสอบอยู่เสมอว่ามีเศษดิน เศษหิน รอยแตก หรือรอยร้าวที่จะทำให้เกิดความเสียหายกับที่ปัดน้ำฝนเมื่อใช้งานหรือไม่
ใบปัดน้ำฝนนอกจากจะมีหน้าที่กำจัดสิ่งสกปรกบนกระจกบานหน้าแล้ว ยังช่วยเพิ่มการมองเห็นที่ชัดเจนให้กับผู้ขับขี่การมองเห็นที่ไม่ชัดเจนอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ยิ่งกว่านั้นหากใบปัดน้ำฝนเสื่อมสภาพหรือมีเศษหินติดอาจทำให้กระจกหน้ารถเป็นรอยได้อีกด้วย
